วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

สรุปบทที่ 4 เรื่อง Inside out


เรื่องย่อ

        เรื่องราวของ ริลีย์ เด็กหญิงวัย 11 ปี ที่เติบโตขึ้นมาในชีวิตแบบตะวันตกตอนกลาง และจำต้องย้ายบ้านตามพ่อแม่มายังเมืองซาน ฟรานซิสโก หลังจากพ่อของต้องมาเริ่มงานที่ใหม่ ณ เมืองที่ริลีย์ไม่คุ้นเคย

        ชีวิตของริลีย์ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เธอต้องปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างออกไปจากเดิม และต้องเผชิญกับอารมณ์มากมายที่เข้ามาหลังจากการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งนี้ของเธอ จนนำมาสู่การแสดงออกทางอารมณ์ต่างๆ ทั้ง 5 ได้แก่ ความสุข (Joy), ความกลัว(Fear), ความโกรธ (Anger ), ความน่ารังเกียจ (Disgust) และความเศร้า (Sadness) 

         เมื่ออารมณ์ทั้งหมด ล้วนอาศัยอยู่ในศูนย์บัญชาการใหญ­่ ภายใต้การควมคุมของจิตใจไรลีย์ คำแนะนำของพวกเขาจะช่วยเหลือเธอให้ผ่านชีวิต­ในแต่ละวันได้ไปได้อย่างไร? เมื่อบทสรุปของความขัดแย้งทางอารมณ์เป็นเหมือนเข็มทิศชี้นำแนวทางให้ริลีย์ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ได้…






สิ่งที่ได้จากการดูหนัง Inside Out
       

      การย้ายบ้านของไรลีย์อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เหมือนกับความสูญเสียของคุณปู่ แต่มันก็เป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการ สำหรับเด็กผู้หญิงอายุ 11 ขวบคนหนึ่ง  แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่มันก็เป็นโอกาสที่ช่วยให้ไรลีย์ได้เติบโต และทำความเข้าใจในอารมณ์ด้านต่างๆ ของตัวเองมากขึ้นหลายครั้ง ความสุขของคนเราก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่เกิดจากความสามารถของเราในการ ‘ปรับใจ’ ให้เข้ากับสถานการณ์ภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป ได้อย่างกลมกลืน เหตุการณ์ในครั้งนี้คือสิ่งที่ช่วยให้ไรลีย์ได้พัฒนา ความฉลาดทางอารมณ์ (E.Q.) และเตรียมความพร้อมให้กับเธอในการรับมือกับ ความเปลี่ยนแปลงอีกหลายๆ ครั้ง ที่รอเธออยู่ในวันข้างหน้า



      Joy เป็นคนมองโลกในแง่ดี ที่พยายามหาข้อดีจากเหตุการณ์ร้ายๆ อยู่เสมอ แต่ข้อเสียของเธอก็คือการเป็นคนที่ยืดติดมากเกินไป และเธอก็ทำใจไม่ได้ที่จะยอมให้ ความทรงจำหลัก (Core Memory) ของไรลีย์นั้นปะปนไปด้วยอารมณ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ความร่าเริง  
       แต่ในที่สุดแล้ว Joy ก็ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตที่มีแต่ความรื่นรมย์อยู่ตลอดเวลานั้นไม่เคยมีอยู่จริง และไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนไรลีย์ก็ไม่อาจมีความสุขได้ ถ้าเธอไม่ยอมปล่อยให้ Sadness และอารมณ์อื่นๆ ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ 



      คนเศร้ามักจะเป็นคนที่ชอบคิดใคร่ครวญอะไรต่างๆ อยู่ในใจเสมอ (คล้ายๆ กับการอ่านคู่มือสมอง) และนั่นก็ทำให้ Sadness มีความเข้าอกเข้าใจในพื้นที่ต่างๆ ภายในจิตใจของไรลีย์ดีกว่าใคร 
     นอกจากนี้ Sadness ยังได้แสดงบทบาทของเธออีกครั้งในตอนที่เธอช่วยปลอบ ปิ๊งป่อง เพื่อนในจินตนาการของไรลีย์ ให้คลายจากความโศกเศร้า ด้วยการรับฟังความทุกข์ของเขาอย่างเข้าใจ ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลมากกว่าวิธีของ Joy ที่พยายามจะทำให้ปิ๊งป่องร่าเริงและลืมความทุกข์ที่มี



       ความทรงจำหลายๆ อย่างของคนเรามักจะอยู่ในรูปของความสุขที่ปนมากับความเศร้า หรือที่เรียกกันว่า mixed feeling ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เข้าใจได้ยาก 
      หลังจากที่ย้ายบ้านมาใหม่ๆ Sadness มักจะเดินมาสัมผัสลูกแก้วความทรงจำของไรลีย์ และเปลี่ยนความทรงจำแสนสุขให้กลายไปเป็นความทรงจำเศร้าๆ อยู่เสมอ โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจ 
       ความจริงก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่ไรลีย์ย้อนกลับไปคิดถึงอดีตในมินนิโซต้า แม้ว่ามันจะทำให้เธอมีความสุข แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าที่ต้องจากเพื่อนๆ และเมืองที่เธอรักไป  
      นอกจากนี้ ในช่วงหลังของเรื่อง Joy ก็ยังได้ค้นพบอีกว่า ในทางกลับกัน ความทรงจำที่ดีบางอย่างของไรลีย์นั้นก็กลับเริ่มต้นมาจากความเศร้าที่กลายมาเป็นความสุขเช่นเดียวกัน 
      ตัวอย่างเช่น ในวันหนึ่ง ที่ไรลีย์ยิงลูกสำคัญในเกมฮอกกี้พลาดไป ซึ่งแม้ว่าเธอจะผิดหวัง แต่มันก็ทำให้พ่อแม่และเพื่อนๆ ของเธอเข้ามาปลอบใจ จนทำให้เธอรู้สึกดี และเปลี่ยนช่วงเวลาที่น่าผิดหวังนั้น ให้กลายมาเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขในที่สุด 
      เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ Joy ได้ค้นพบว่า Sadness หรือ ความเศร้า นั่นเอง ที่เป็น กุญแจสำคัญ ที่จะช่วยให้ไรลีย์ผ่านพ้นวิกฤติการณ์ที่ยากลำบากในครั้งนี้ไปได้



       แม้ว่า Joy จะมีความตั้งใจดี แต่เธอก็เป็นผู้นำประเภท control freak ที่พยายามจะควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามความคิดของตัวเองมากเกินไป 
      ฉากหนึ่งที่สำคัญมากในหนังก็คือ ตอนที่ Joy เอาชอล์คมาวงที่พื้นรอบๆ ตัว Sadness เพื่อไม่ให้เธอออกมาวุ่นวายและทำให้ความทรงจำของไรลีย์เศร้าหมองอีก ซึ่งนั่นก็คือการละเลยความเศร้าที่เกิดขึ้น และพยายามหลอกตัวเองว่ามีความสุขนั่นเอง 
      คนที่เป็นโรคซึมเศร้า แม้จะดูมีความสุขจากภายนอก แต่เราก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่า เขาเก็บซ่อนความเศร้าเอาไว้มากแค่ไหน และอันตรายของการเก็บกดความเศร้าเอาไว้นานๆ ก็คือ มันย่อมระเบิดขึ้นในสักวัน เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Sadness ในตอนท้ายของเรื่อง


       คนเราไม่จำเป็นต้องอดทนต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เมื่อใช้อย่างเหมาะสม Anger (ความโกรธ) ก็คือ ‘พลังงานชั้นดี’ ที่ช่วยปลุกเราให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม และบรรลุเป้าหมายต่างๆ ในชีวิตได้



       Disgust (ความเกลียด) และ Fear (ความกลัว) ทำงานคล้ายๆ กับ ‘ระบบเซ็นเซอร์’ โดย Disgust นั้นจะช่วยปัองกันไรลีย์จากสิ่งที่ทำให้เธอไม่สบายกายและไม่สบายใจ ในขณะที่ Fear ก็ช่วยปกป้องเธอจากอันตรายต่างๆ 


     
     ในทุกช่วงวัย ชีวิตจะพาเราเดินไปข้างหน้าอยู่เสมอ และบางครั้ง เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะ ‘ทิ้งอดีต’ เอาไว้ข้างหลังบ้าง เพื่อให้ใจเรา ‘เบาพอ’ ที่จะก้าวต่อไปในอนาคตให้ได้


      นอกจากนี้ หลังจากเวลาผ่านไป เราก็ยังได้เห็นเกาะใหม่ๆ ของไรลีย์อีกหลายเกาะ อาทิเช่น เกาะแฟชั่น เกาะบอยแบนด์ และ เกาะแวมไพร์โรแมนซ์ (อันนี้น่าจะมาจาก Twilight) ซึ่งก็คือประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เธอได้รับ หลังจากที่เธอเริ่มเป็นวัยรุ่นนั่นเอง



        ‘ความสุขของไรลีย์’ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำงานของอารมณ์ทั้ง 5 ในหัวของเธอเพียงลำพัง แต่มันยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากอารมณ์ทั้ง 5 ในหัวของพ่อและแม่ ซึ่งทั้งหมดต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง ‘ความสุขในครอบครัว’ ให้เกิดขึ้น  
         ในช่วงเวลาที่อ่อนแอ บางครั้ง สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดก็คือ ใครบางคนที่รักและห่วงใยเรา และไม่ว่าช่วงเวลานั้นจะยากลำบากสักแค่ไหน แต่เราก็ย่อมผ่านมันไปได้ ด้วยกำลังใจจากคนที่เรารัก
 

ความเกี่ยวข้องกับทฤษฎี
        1.ทฤษฎีพัฒนาการเชาว์ปัญญาของเพียเจต์
จากหนังเมื่อไรลีย์มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไรลีย์ก็สามารถมีความคิดที่ซับซ้อนและมีเหตุผลมากยิ่งขึ้นกว่าตอนเด็กๆ ตามทฤษฎีของเพียเจต์ก็มีการแบ่งพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กออกเป็นช่วงอายุ และแสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อยๆก็จะมีพัฒนาการทางความคิดที่ดีขึ้น
        2.ทฤษฏีเกี่ยวกับการสอนของบรูเนอร์
ไรลีย์จะแสดงพัฒนาการทางสมองด้วยการกระทำ และดำเนินต่อไปเรื่อยๆตลอดชีวิต เรียกว่าEnactive Mode เป็นวิธีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยการจับต้อง เช่น ผลัก ดึง จับ การเล่นกีฬาของไรลีย์ นอกจากใช้ประสาทสัมผัสแล้วเด็กยังสามารถถ่ายทอดด้วยภาพในใจของเค้า เมื่อไรลีย์สามารถที่จะสร้างจินตนาการได้ เด็กก็สามารถรับรู้สิ่งต่างในโลกได้ด้วยการใช้ Iconic Mode
        3.ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของอองซูเบล
เมื่อ Riley มีประสบการณ์และมีความคิดที่จะเชื่อมโยงความตั้งใจกับสิ่งที่เรียนรู้ใหม่ ทำให้ Riley สามารถแก้ปัญหาจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ ความเศร้าที่ใครๆ ก็เห็นว่าไม่เป็นจำเป็น ในบางเวลากลับเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด จะเศร้าบ้างก็ได้ และในทางกลับกันความสนุกสนานก็ไม่ได้สามารถใช้แก้ทุกปัญหาเช่นกัน ในการแก้ปัญหานั้นบางครั้งเราก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย เมื่อเรียนรู้ถึงสิ่งนี้ได้ ก็พร้อมจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ความขัดแย้งนี้ถูกโยงไปยังการก้าวข้ามผ่านวัย (Coming of Age) ของ Rile

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น