วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)


 
          Bloom’s Taxonomy กล่าวถึงการจำแนกการเรียนรู้ตามทฤษฎีของบลูม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย โดยในแต่ละด้านจะมีการจำแนกระดับความสามารถจากต่ำสุดไปถึงสูงสุด เช่น ด้านพุทธิพิสัย เริ่มจากความรู้ ความเข้าใจการนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมิน นอกจากนี้ยังนำเสนอระดับความสามารถที่มีการปรับปรุงใหม่ตามแนวคิดของAnderson and Krathwohl (2001) เป็น การจำ(Remembering) การเข้าใจ(Understanding) การประยุกต์ใช้(Applying) การวิเคราะห์(Analysing) การประเมินผล (Evaluating) และการสร้างสรรค์(Creating) ด้านจิตพิสัย จำแนกเป็น การรับรู้, การตอบสนอง, การสร้างค่านิยม, การจัดระบบ และการสร้างคุณลักษณะจากค่านิยม ด้านทักษะพิสัย จำแนกเป็น ทักษะการเคลื่อนไหวของร่างกาย, ทักษะการเคลื่อนไหวอวัยวะสองส่วนหรือมากกว่าพร้อมๆกัน, ทักษะการสื่อสารโดยใช้ท่าทาง และทักษะการแสดงพฤติกรรมทางการพูด.....

          ได้จำแนกจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ออกเป็น 3 ด้าน คือ         
           1. พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด หรือพฤติกรรมทางด้านสมองของบุคคล ในอันที่ทำให้มีความเฉลียวฉลาด มีความสามารถในการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญา การเรียนการสอนในปัจจุบันยังเน้นในด้านนี้มากพฤติกรรมทางพุทธิพิสัย แบ่งได้เป็น 6 ระดับ ได้แก่

 
          
 
          1. ความรู้ความจำ เป็นความสามารถในการเก็บรักษามวลประสบการณ์ต่าง ๆ จากการที่ได้รับรู้ไว้และระลึกสิ่งนั้นได้เมื่อต้องการ เปรียบดังเทปบันทึกเสียงหรือวีดิทัศน์ที่สามารถเก็บเสียงและภาพของเรื่องราวต่าง ๆ ได้ สามารถเปิดฟัง หรือ ดูภาพเหล่านั้นได้ เมื่อต้องการ
          1.1 ความรู้ความจำในเนื้อเรื่อง (Knowledge of specifics) ความรู้เกี่ยวกับศัพท์และนิยาม (Knowledge of terminology) เกี่ยวกับความหมายของศัพท์ นิยามหรือคำจำกัดความ สัญลักษณ์ หรือภาพอักษร และ เครื่องหมายต่าง ๆ ความรู้เกี่ยวกับกฎและความจริง (Knowledge of specific facts)
เกี่ยวกับ สูตร กฎ ทฤษฎี หรือสมมุติฐาน ขนาด จำนวน สถานที่ เวลา คุณสมบัติ วัตถุประสงค์ สาเหตุและผลที่เกิด ประโยชน์และโทษ และสิทธิหน้าที่
           1.2 ความรู้ในวิธีดำเนินการ (Knowledge of ways and means of dealing with specifics)
ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน (Knowledge of conventions)
เกี่ยวกับแบบแผน ธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันต่อ ๆ มาในสังคม
ความรู้เกี่ยวกับลำดับขั้นและแนวโน้ม (Knowledge of trends and sequences)
แนวโน้มที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนั้นเสมอ ๆ และขั้นตอนของการดำเนินการในเรื่องหรือสิ่งนั้น ๆ ที่ต่อเนื่องกัน ความรู้เกี่ยวกับการจัดประเภท (Knowledge of classifications and categories)
เกี่ยวกับชนิด ประเภทของสิ่งของและเรื่องราวต่าง ๆ ว่าอยู่ในหมวดหมู่ประเภทใด มีสิ่งใดที่เหมือนหรือแตกต่างจากพวก โดยยึดเกณฑ์หรือวิธีการใดเป็นหลักความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ (Knowledge of criteria)
เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินหรือตรวจสอบสรรพสิ่งต่าง ๆ ว่า ดี - เลว ถูก - ผิด ควร-ไม่ควร
ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ (Knowledge of methodology)วิธีการที่ใช้สำหรับการปฏิบัติงานนั้น ๆ ตามหลักวิชาการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
            1.3 ความรู้ความจำรวบยอด (Knowledge of universals and abstractions in the field)
ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาและขยายหลักวิชา (Knowledge of principles and generalization)
หลักการหรือความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ซึ่งเคยปรากฏจนสามารถนำมากล่าวสรุปรวบรวมเป็นความจริงทั่วไป
ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีและโครงสร้าง (Knowledge of theories and structures)
เกี่ยวกับคติและหลักการ จากของหลายสิ่ง หลายเนื้อหาที่สัมพันธ์กัน เป็นพวกเดียวกัน เพื่อจะค้นหาทฤษฎี และโครงสร้างที่เป็นตัวร่วมของสิ่งเหล่านั้น

        2. ความเข้าใจ เป็นความสามารถในการจับใจความสำคัญของสื่อได้ และสามารถแสดงออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรือ การกระทำอื่น ๆ
           2.1 การแปลความ หมายถึง ความสามารถแปลสิ่งซึ่งอยู่ในระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่งได้ สุภาษิต สำนวน โวหาร
           2.2 การตีความ หมายถึง การจับใจความสำคัญของเรื่องหรือการเอาเรื่องราวเดิมมาคิดในแง่ใหม่
           2.3 การขยายความ หมายถึง การคาดคะเนหรือคาดหวังว่า จะมีสิ่งนั้นเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในอดีต หรืออนาคต โดยอาศัยแนวโน้มที่ทราบมาเป็นหลัก

        3. การนำความรู้ไปใช้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ จึงจะสามารถนำไปใช้ได้ เช่น นำหลักของการใช้ภาษาไทยไปใช้สื่อความหมายในชีวิตประจำวันได้ถูกต้องและเหมาะสม
       
       4. การวิเคราะห์ เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถคิด หรือ แยกแยะเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย เป็นองค์ประกอบที่สำคัญได้ และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ความสามารถในการวิเคราะห์จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน เช่น คน 2 คน มองดูต้นไม้ต้นเดียวกัน
           คนแรก วิเคราะห์ต้นไม้ ออกเป็น 4 ส่วน คือ ราก ลำต้น ใบ และ ดอก
           คนที่สอง วิเคราะห์ต้นไม้ ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนบนดิน และ ส่วนใต้ดิน
       5. การสังเคราะห์ ขั้นนี้เป็นความสามารถในการที่ผสมผสานย่อย ๆ เข้าเป็นเรื่องราวเดียวกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่สมบูรณ์และดีกว่าเดิม อาจเป็นการถ่ายทอดความคิดออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย การกำหนดวางแผนวิธีการดำเนินงานขึ้นใหม่ หรือ อาจจะเกิดความคิดในอันที่จะสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งที่เป็นนามธรรมขึ้นมาในรูปแบบ หรือ แนวคิดใหม่
          5.1 การสังเคราะห์ข้อความ หมายถึง การนำเอาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ มาผสมหรือปรุงแต่งขึ้นใหม่ เกิดเป็นข้อความหรือเรื่องราวใหม่ ๆ เช่น การเขียนเรียงความ
          5.2 การสังเคราะห์แผนงาน หมายถึง เป็นการวัดความสามารถในการเขียนโครง
การ แผนปฏิบัติงาน
          5.3 การสังเคราะห์ ความสัมพันธ์ หมายถึง การเอาความสำคัญและหลักการต่าง ๆ มาผสมให้เป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้เกิดเป็นสิ่งสำเร็จหน่วยใหม่ ที่มีความสัมพันธ์แปลกไปจากเดิม
        6. การประเมินค่า เป็นความสามารถในการตัดสิน ตีราคา หรือ สรุปเกี่ยวกับคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นไปตามเนื้อหาสาระในเรื่องนั้น ๆ หรืออาจเป็นกฎเกณฑ์ที่สังคมยอมรับก็ได้ เช่น  การสรุปว่า งูเห่ามีประโยชน์ในวิชาทางการแพทย์ แต่สังคมโดยทั่วไปจะสรุปว่า งูเห่านั้นมีโทษ เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต
         6.1 การประเมินค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริงภายใน หมายถึง การประเมินค่าโดยใช้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ตามท้องเรื่อง หรือตามสถานการณ์นั้น ๆ
         6.2 การประเมินค่า โดยอาศัยเกณฑ์ภายนอก หมายถึง การประเมินค่าโดยใช้เกณฑ์จากสิ่งภายนอกเรื่องราวนั้น ๆ เป็นหลักในการพิจารณาตัดสิน

           นี่เป็นการวางลำดับขั้นการเรียนรู้ให้กับนักเรียนก่อนสอน ... มักจะเป็นการวางไว้ในสิ่งที่เรียกว่า "แผนการสอน" เมื่อนักเรียนเรียนรู้เรื่องนี้แล้ว นักเรียนควรจะมีความสามารถทางสติปัญญาถึงขั้นไหนดี แน่นอนว่า ขั้นที่ครูอยากให้ถึงมากที่สุด คือ การประเมินค่า ... ซึ่งต้องขึ้นอยู่เนื้อหาวิชา ความรู้นั้น ๆ ว่า ควรจะเป็นขั้นนี้หรือไม่ เนื้อหาบางเนื้อหาอาจจะถึงแค่ ความรู้ความจำ หรือ ความเข้าใจ ก็ยังได้ แล้วแต่ธรรมชาติของเนื้อหาเอง

     2.จิตพิสัย (Affective Domain)(พฤติกรรมด้านจิตใจ) ค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจและคุณธรรม พฤติกรรมด้านนี้อาจไม่เกิดขึ้นทันที ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และสอดแทรกสิ่งที่ดีงามอยู่ตลอดเวลา จะทำให้พฤติกรรมของผู้เรียนเปลี่ยนไปในแนวทางที่พึงประสงค์ได้ด้านจิตพิสัย จะประกอบด้วย พฤติกรรมย่อย ๆ 5ประการ        1.การรับรู้ ... เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อปรากฎการณ์ หรือสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของสิ่งเร้านั้นว่าคืออะไร แล้วจะแสดงออกมาในรูปของความรู้สึกที่เกิดขึ้น        2. การตอบสนอง ...เป็นการกระทำที่แสดงออกมาในรูปของความเต็มใจ ยินยอม และพอใจต่อสิ่งเร้านั้น ซึ่งเป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเลือกสรรแล้ว        3. การเกิดค่านิยม ... การเลือกปฏิบัติในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคม การยอมรับนับถือในคุณค่านั้น ๆ หรือปฏิบัติตามในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนกลายเป็นความเชื่อ แล้วจึงเกิดทัศนคติที่ดีในสิ่งนั้น        4. การจัดระบบ ... การสร้างแนวคิด จัดระบบของค่านิยมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์ถ้าเข้ากันได้ก็จะยึดถือต่อไปแต่ถ้าขัดกันอาจไม่ยอมรับอาจจะยอมรับค่านิยมใหม่โดยยกเลิกค่านิยมเก่า        5.บุคลิกภาพการนำค่านิยมที่ยึดถือมาแสดงพฤติกรรมที่เป็นนิสัยประจำตัว ให้ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามพฤติกรรมด้านนี้ จะเกี่ยวกับความรู้สึกและจิตใจ ซึ่งจะเริ่มจากการได้รับรู้จากสิ่งแวดล้อม แล้วจึงเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ ขยายกลายเป็นความรู้สึกด้านต่าง ๆจนกลายเป็นค่านิยม และยังพัฒนาต่อไปเป็นความคิด อุดมคติ ซึ่งจะเป็นควบคุมทิศทางพฤติกรรมของคนคนจะรู้ดีรู้ชั่วอย่างไรนั้น ก็เป็นผลของพฤติกรรมด้านนี้

       3.ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) (พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อประสาท) พฤติกรรมที่บ่งถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ ซึ่งแสดงออกมาได้โดยตรงโดยมีเวลาและคุณภาพของงานเป็นตัวชี้ระดับของทักษะ
พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย ประกอบด้วย พฤติกรรมย่อย ๆ 5 ขั้น ดังนี้
       1.การรับรู้ ... เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง หรือ เป็นการเลือกหาตัวแบบที่สนใจ
       2.กระทำตามแบบ หรือ เครื่องชี้แนะ ... เป็นพฤติกรรมที่ผู้เรียนพยายามฝึกตามแบบที่ตนสนใจและพยายามทำซ้ำ เพื่อที่จะให้เกิดทักษะตามแบบที่ตนสนใจให้ได้ หรือ สามารถปฏิบัติงานได้ตามข้อแนะนำ
       3.การหาความถูกต้อง พฤติกรรมสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องชี้แนะ เมื่อได้กระทำซ้ำแล้ว ก็พยายามหาความถูกต้องในการปฏิบัติ
      4.การกระทำอย่างต่อเนื่องหลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบที่เป็นของ
ตัวเองจะกระทำตามรูปแบบนั้นอย่างต่อเนื่องจนปฏิบัติงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วถูกต้อง คล่องแคล่ว การที่ผู้เรียนเกิดทักษะได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนและกระทำ
อย่างสม่ำเสมอ
      5.การกระทำได้อย่างเป็นธรรมชาติพฤติกรรมที่ได้จากการฝึกอย่างต่อเนื่อง


ตัวอย่างข้อสอบการวัดด้านพุทธิพิสัย

1. ความรู้ความจำ
    - ข้อใดคืออุปกรณ์เก็บข้อมูลถาวร
     1.แรม
     2.ฮาร์ดดิสก์
     3 ซีพียู
     4 เพาเวอร์ซัพพาย

2.ความเข้าใจ
   - ที่กล่าวว่า "อาชีพครูเปรียบเสมือนเรือจ้าง" หมายความว่าอย่างไร 
      1. ไม่มีเกียรติ
      2. รายได้น้อย
      3. เจริญเชื่องช้า
      4. ขาดการเหลียวแล

3. การนำความรู้ไปใช้
   - อาหารประเทศใด มีสารอาหารทนแทนข้าวได้
     1 ผัก
     2 นม
     3 แป้ง
     4 ผลไม้

4 การวิเคราะห์
  - การสร้างเมืองใหม่ ยึดอะไรเป็นหลัก 
    1. แม่น้ำกับเกษตร 
    2. แม่น้ำกับการคมนาคม 
    3. การคมนาคมกับพื้นที่
    4. จำนวนประชากรกับพื้นที่

5. การสังเคราะห์
  - ควรเลือกใช้การ์ดจอตัวใดในการใช้งานด้านกราฟฟิกทำงาน
    1 GTX860
    2 Quadro 620
    3 R9 370
    4 INTEL HD

6. การประเมินค่า
   - ข้อใดใช้งานคอมพิวเตอร์อย่าง ไม่ เหมาะสม
   1 ฟังเพลงและเล่นเกม
   2 ดาวน์โหลดโปรแกรม freeware มาใช้
   3 บันทึกข้อมูลส่วนตัวลงในคอมพิวเตอร์
   4 เปิดหนังโป้ให้เพื่อนดู

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

สรุปบทที่ 4 เรื่อง Inside out


เรื่องย่อ

        เรื่องราวของ ริลีย์ เด็กหญิงวัย 11 ปี ที่เติบโตขึ้นมาในชีวิตแบบตะวันตกตอนกลาง และจำต้องย้ายบ้านตามพ่อแม่มายังเมืองซาน ฟรานซิสโก หลังจากพ่อของต้องมาเริ่มงานที่ใหม่ ณ เมืองที่ริลีย์ไม่คุ้นเคย

        ชีวิตของริลีย์ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เธอต้องปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างออกไปจากเดิม และต้องเผชิญกับอารมณ์มากมายที่เข้ามาหลังจากการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งนี้ของเธอ จนนำมาสู่การแสดงออกทางอารมณ์ต่างๆ ทั้ง 5 ได้แก่ ความสุข (Joy), ความกลัว(Fear), ความโกรธ (Anger ), ความน่ารังเกียจ (Disgust) และความเศร้า (Sadness) 

         เมื่ออารมณ์ทั้งหมด ล้วนอาศัยอยู่ในศูนย์บัญชาการใหญ­่ ภายใต้การควมคุมของจิตใจไรลีย์ คำแนะนำของพวกเขาจะช่วยเหลือเธอให้ผ่านชีวิต­ในแต่ละวันได้ไปได้อย่างไร? เมื่อบทสรุปของความขัดแย้งทางอารมณ์เป็นเหมือนเข็มทิศชี้นำแนวทางให้ริลีย์ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ได้…






สิ่งที่ได้จากการดูหนัง Inside Out
       

      การย้ายบ้านของไรลีย์อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เหมือนกับความสูญเสียของคุณปู่ แต่มันก็เป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการ สำหรับเด็กผู้หญิงอายุ 11 ขวบคนหนึ่ง  แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่มันก็เป็นโอกาสที่ช่วยให้ไรลีย์ได้เติบโต และทำความเข้าใจในอารมณ์ด้านต่างๆ ของตัวเองมากขึ้นหลายครั้ง ความสุขของคนเราก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่เกิดจากความสามารถของเราในการ ‘ปรับใจ’ ให้เข้ากับสถานการณ์ภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป ได้อย่างกลมกลืน เหตุการณ์ในครั้งนี้คือสิ่งที่ช่วยให้ไรลีย์ได้พัฒนา ความฉลาดทางอารมณ์ (E.Q.) และเตรียมความพร้อมให้กับเธอในการรับมือกับ ความเปลี่ยนแปลงอีกหลายๆ ครั้ง ที่รอเธออยู่ในวันข้างหน้า



      Joy เป็นคนมองโลกในแง่ดี ที่พยายามหาข้อดีจากเหตุการณ์ร้ายๆ อยู่เสมอ แต่ข้อเสียของเธอก็คือการเป็นคนที่ยืดติดมากเกินไป และเธอก็ทำใจไม่ได้ที่จะยอมให้ ความทรงจำหลัก (Core Memory) ของไรลีย์นั้นปะปนไปด้วยอารมณ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ความร่าเริง  
       แต่ในที่สุดแล้ว Joy ก็ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตที่มีแต่ความรื่นรมย์อยู่ตลอดเวลานั้นไม่เคยมีอยู่จริง และไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนไรลีย์ก็ไม่อาจมีความสุขได้ ถ้าเธอไม่ยอมปล่อยให้ Sadness และอารมณ์อื่นๆ ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ 



      คนเศร้ามักจะเป็นคนที่ชอบคิดใคร่ครวญอะไรต่างๆ อยู่ในใจเสมอ (คล้ายๆ กับการอ่านคู่มือสมอง) และนั่นก็ทำให้ Sadness มีความเข้าอกเข้าใจในพื้นที่ต่างๆ ภายในจิตใจของไรลีย์ดีกว่าใคร 
     นอกจากนี้ Sadness ยังได้แสดงบทบาทของเธออีกครั้งในตอนที่เธอช่วยปลอบ ปิ๊งป่อง เพื่อนในจินตนาการของไรลีย์ ให้คลายจากความโศกเศร้า ด้วยการรับฟังความทุกข์ของเขาอย่างเข้าใจ ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลมากกว่าวิธีของ Joy ที่พยายามจะทำให้ปิ๊งป่องร่าเริงและลืมความทุกข์ที่มี



       ความทรงจำหลายๆ อย่างของคนเรามักจะอยู่ในรูปของความสุขที่ปนมากับความเศร้า หรือที่เรียกกันว่า mixed feeling ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เข้าใจได้ยาก 
      หลังจากที่ย้ายบ้านมาใหม่ๆ Sadness มักจะเดินมาสัมผัสลูกแก้วความทรงจำของไรลีย์ และเปลี่ยนความทรงจำแสนสุขให้กลายไปเป็นความทรงจำเศร้าๆ อยู่เสมอ โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจ 
       ความจริงก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่ไรลีย์ย้อนกลับไปคิดถึงอดีตในมินนิโซต้า แม้ว่ามันจะทำให้เธอมีความสุข แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าที่ต้องจากเพื่อนๆ และเมืองที่เธอรักไป  
      นอกจากนี้ ในช่วงหลังของเรื่อง Joy ก็ยังได้ค้นพบอีกว่า ในทางกลับกัน ความทรงจำที่ดีบางอย่างของไรลีย์นั้นก็กลับเริ่มต้นมาจากความเศร้าที่กลายมาเป็นความสุขเช่นเดียวกัน 
      ตัวอย่างเช่น ในวันหนึ่ง ที่ไรลีย์ยิงลูกสำคัญในเกมฮอกกี้พลาดไป ซึ่งแม้ว่าเธอจะผิดหวัง แต่มันก็ทำให้พ่อแม่และเพื่อนๆ ของเธอเข้ามาปลอบใจ จนทำให้เธอรู้สึกดี และเปลี่ยนช่วงเวลาที่น่าผิดหวังนั้น ให้กลายมาเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขในที่สุด 
      เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ Joy ได้ค้นพบว่า Sadness หรือ ความเศร้า นั่นเอง ที่เป็น กุญแจสำคัญ ที่จะช่วยให้ไรลีย์ผ่านพ้นวิกฤติการณ์ที่ยากลำบากในครั้งนี้ไปได้



       แม้ว่า Joy จะมีความตั้งใจดี แต่เธอก็เป็นผู้นำประเภท control freak ที่พยายามจะควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามความคิดของตัวเองมากเกินไป 
      ฉากหนึ่งที่สำคัญมากในหนังก็คือ ตอนที่ Joy เอาชอล์คมาวงที่พื้นรอบๆ ตัว Sadness เพื่อไม่ให้เธอออกมาวุ่นวายและทำให้ความทรงจำของไรลีย์เศร้าหมองอีก ซึ่งนั่นก็คือการละเลยความเศร้าที่เกิดขึ้น และพยายามหลอกตัวเองว่ามีความสุขนั่นเอง 
      คนที่เป็นโรคซึมเศร้า แม้จะดูมีความสุขจากภายนอก แต่เราก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่า เขาเก็บซ่อนความเศร้าเอาไว้มากแค่ไหน และอันตรายของการเก็บกดความเศร้าเอาไว้นานๆ ก็คือ มันย่อมระเบิดขึ้นในสักวัน เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Sadness ในตอนท้ายของเรื่อง


       คนเราไม่จำเป็นต้องอดทนต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เมื่อใช้อย่างเหมาะสม Anger (ความโกรธ) ก็คือ ‘พลังงานชั้นดี’ ที่ช่วยปลุกเราให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม และบรรลุเป้าหมายต่างๆ ในชีวิตได้



       Disgust (ความเกลียด) และ Fear (ความกลัว) ทำงานคล้ายๆ กับ ‘ระบบเซ็นเซอร์’ โดย Disgust นั้นจะช่วยปัองกันไรลีย์จากสิ่งที่ทำให้เธอไม่สบายกายและไม่สบายใจ ในขณะที่ Fear ก็ช่วยปกป้องเธอจากอันตรายต่างๆ 


     
     ในทุกช่วงวัย ชีวิตจะพาเราเดินไปข้างหน้าอยู่เสมอ และบางครั้ง เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะ ‘ทิ้งอดีต’ เอาไว้ข้างหลังบ้าง เพื่อให้ใจเรา ‘เบาพอ’ ที่จะก้าวต่อไปในอนาคตให้ได้


      นอกจากนี้ หลังจากเวลาผ่านไป เราก็ยังได้เห็นเกาะใหม่ๆ ของไรลีย์อีกหลายเกาะ อาทิเช่น เกาะแฟชั่น เกาะบอยแบนด์ และ เกาะแวมไพร์โรแมนซ์ (อันนี้น่าจะมาจาก Twilight) ซึ่งก็คือประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เธอได้รับ หลังจากที่เธอเริ่มเป็นวัยรุ่นนั่นเอง



        ‘ความสุขของไรลีย์’ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำงานของอารมณ์ทั้ง 5 ในหัวของเธอเพียงลำพัง แต่มันยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากอารมณ์ทั้ง 5 ในหัวของพ่อและแม่ ซึ่งทั้งหมดต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง ‘ความสุขในครอบครัว’ ให้เกิดขึ้น  
         ในช่วงเวลาที่อ่อนแอ บางครั้ง สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดก็คือ ใครบางคนที่รักและห่วงใยเรา และไม่ว่าช่วงเวลานั้นจะยากลำบากสักแค่ไหน แต่เราก็ย่อมผ่านมันไปได้ ด้วยกำลังใจจากคนที่เรารัก
 

ความเกี่ยวข้องกับทฤษฎี
        1.ทฤษฎีพัฒนาการเชาว์ปัญญาของเพียเจต์
จากหนังเมื่อไรลีย์มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไรลีย์ก็สามารถมีความคิดที่ซับซ้อนและมีเหตุผลมากยิ่งขึ้นกว่าตอนเด็กๆ ตามทฤษฎีของเพียเจต์ก็มีการแบ่งพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กออกเป็นช่วงอายุ และแสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อยๆก็จะมีพัฒนาการทางความคิดที่ดีขึ้น
        2.ทฤษฏีเกี่ยวกับการสอนของบรูเนอร์
ไรลีย์จะแสดงพัฒนาการทางสมองด้วยการกระทำ และดำเนินต่อไปเรื่อยๆตลอดชีวิต เรียกว่าEnactive Mode เป็นวิธีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยการจับต้อง เช่น ผลัก ดึง จับ การเล่นกีฬาของไรลีย์ นอกจากใช้ประสาทสัมผัสแล้วเด็กยังสามารถถ่ายทอดด้วยภาพในใจของเค้า เมื่อไรลีย์สามารถที่จะสร้างจินตนาการได้ เด็กก็สามารถรับรู้สิ่งต่างในโลกได้ด้วยการใช้ Iconic Mode
        3.ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของอองซูเบล
เมื่อ Riley มีประสบการณ์และมีความคิดที่จะเชื่อมโยงความตั้งใจกับสิ่งที่เรียนรู้ใหม่ ทำให้ Riley สามารถแก้ปัญหาจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ ความเศร้าที่ใครๆ ก็เห็นว่าไม่เป็นจำเป็น ในบางเวลากลับเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด จะเศร้าบ้างก็ได้ และในทางกลับกันความสนุกสนานก็ไม่ได้สามารถใช้แก้ทุกปัญหาเช่นกัน ในการแก้ปัญหานั้นบางครั้งเราก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย เมื่อเรียนรู้ถึงสิ่งนี้ได้ ก็พร้อมจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ความขัดแย้งนี้ถูกโยงไปยังการก้าวข้ามผ่านวัย (Coming of Age) ของ Rile

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

สรุปบทที่3 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม


ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม (Behavioral Theories)
       

          ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม(Behaviorism หรือ S-R Associationism)เน้นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยอาศัย ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า (Stimulas) และ การตอบสนอง (Response) โดยอินทรีย์จะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและ การตอบสนองอันนำไปสู่ ความสามารถในการแสดงพฤติกรรม คือการเรียนรู้นั่นเอง
นักจิตวิทยาสามารถแยกพฤติกรรมมนุษย์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
         1. พฤติกรรมเรสปอนเดนส์ (Respondent Behavior ) เกิดขึ้นโดยสิ่งเร้า เมื่อมีสิ่งเร้าก็จะตอบสนองเองตามธรรมชาติ
         2. พฤติกรรมโอเปอเรนต์ (Operant Behavior) เป็นพฤติกรรมที่บุคคล หรือสัตว์แสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมา(Emitted)โดยปราศจากสิ่งเร้าแน่นอน

          ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning)
         
          แนวคิดของพาฟลอฟ(Ivan Pavlov) เชื่อว่าการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากเกิดจากการวางเงื่อนไข กล่าวคือ การตอบสนองหรือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นต่อสิ่งเร้าหนึ่งมักมีเงื่อนไขหรือ สถานการณ์เกิดขึ้น ซึ่งในสภาพปกติหรือในชีวิตประจำวันการตอบสนองเช่นนั้นอาจไม่มี เช่น กรณีสุนัขได้ยินเสียงกระดิ่งและน้ำลายไหล เสียงกระดิ่งเป็นสิ่งเร้าที่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไข พาฟลอฟ เรียกว่า สิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข และปฏิกิริยาน้ำลายไหล เป็นการตอบสนองที่เรียกว่าการตอบสนองที่มีเงื่อนไข



           แนวคิดของวัตสัน(Watson) วัตสันได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของมนุษย์โดยศึกษาเรื่องความกลัว ในการศึกษาครั้งนี้ได้ให้ข้อสังเกตว่าเด็กจะกลัวเสียงดังที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่จะไม่กลัวสัตว์ประเภทหนู การทดลองโดยการปล่อยให้อัลเบิร์ตเล่นกับหนูขาวในขณะที่เอื้อมมือไปจับหนูขาวก็ใช้ฆ้อนเคาะแผ่นเหล็กเกิดเสียงดัง จนทำให้อัลเบิร์ตกลัวหนูขาว ต่อมาแก้โดยให้มารดาอุ้มและให้อัลเบิร์ตจับหนูขาวแรกๆยังกลัวอยู่แต่พอแม่ปลอบว่าไม่ต้องกลัวและให้จับหนู จนสามารถจับได้โดยปราศจากความกลัว หลักการนี้เรียกว่า Counter Conditioning

                                     เสียงดัง (UCS)    -------------- กลัว (UCR)

                                     หนูขาว (neutral) -------------- ไม่กลัว

                                         หนู + เสียงดัง -------------- กลัว (CR)

                                           หนูขาว (CS) -------------- กลัว (CR)


ทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำ (Operant Conditioning Theory)

          ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike) ในการทดลอง ธอร์นไดค์ได้นำแมวไปขังไว้ในกรงที่สร้างขึ้น แล้วนำปลาไปวางล่อไวนอกกรงให้ห่างพอประมาณ โดยให้แมวไม่สามารถยื่นเท้าไปเขี่ยได้ จากการสังเกต พบว่าแมวพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อจะออกไปจากกรง จนกระทั่งเท้าของมันไปเหยียบถูกคานไม้โดยบังเอิญ ทำให้ประตูเปิดออก หลังจากนั้นแมวก็ใช้เวลาในการเปิดกรงได้เร็วขึ้น
          จากการทดลองธอร์นไดค์อธิบายว่า การตอบสนองซึ่งแมวแสดงออกมาเพื่อแก้ปัญหา เป็นการตอบสนองแบบลองผิดลองถูก การที่แมวสามารถเปิดกรงได้เร็วขึ้น ในช่วงหลังแสดงว่า แมวเกิดการเรียนรู้ด้วยการสร้างพันธะหรือตัวเชื่อมขึ้นระหว่างคานไม้กับการกดคานไม้


กฎการเรียนรู้
       1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้
       2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) การฝึกหัดหรือกระทำบ่อย ๆ
       3. กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) การเรียนรู้และนำไปใช้บ่อย ๆ


          ทฤษฏีการเรียนรู้ของ Skinner Burrhus Skinner นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้คิดทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning theory หรือ Instrumental Conditioningหรือ Type-R. Conditioning) เขามีความคิดว่าทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคนั้น จำกัดอยู่กับพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนน้อยของมนุษย์พฤติกรรมส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง ไม่ใช่เกิดจากการจับคู่ระหว่างสิ่งเร้าใหม่กับสิ่งเร้าเก่าตามการอธิบายของ Pavlov Skinnerได้อธิบายคำว่า" พฤติกรรม " ว่าประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ตัว คือ สิ่งที่ก่อให้เกิดขึ้นก่อน(Antecedent) - พฤติกรรม(Behavior) - ผลที่ได้รับ(Consequence)
ซึ่งเขาเรียกย่อๆ ว่า A-B-C ซึ่งทั้ง 3 จะดำเนินต่อเนื่องไป ผลที่ได้รับจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดขึ้นก่อนอันนำไปสู่การเกิดพฤติกรรมและนำไปสู่ผลที่ได้รับตามลำดับ
การศึกษาในเรื่องนี้ Skinner ได้สร้างกล่องขึ้นมา มีชื่อเรียนกว่า Skinner Box กล่องนี่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมมีคานหรือลิ้นบังคับให้อาหารตกลงมาในจาน เหนือคานจะมีหลอดไฟติดอยู่ เมื่อกดคานไฟจะสว่างและอาหารจะหล่นลงมา Skinner Box นำนกไปใส่ไว้ในกล่อง และโดยบังเอิญนกเคลื่อนไหวไปถูกคานอาหารก็หล่นลงมา อาหารที่นกได้นำไปสู่การกดคานซ้ำและการกดคานแล้วได้อาหาร




       
    การเสริมแรง(Reinforcement )
          การเสริมแรง(Reinforcement ) หมายถึงสิ่งเร้าใดที่ทำให้พฤติกรรมการเรียนรู้เกิดขึ้นแล้วมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอีก มีความคงทนถาวร เช่น การกดคานและจิกแป้นสีของนกพิราบได้ถูกต้องต้องการทุกครั้งเมื่อหิวหรือต้องการในการทดลอง Skinner ตัวเสริมแรง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ

          1. ตัวเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) หมายถึงสิ่งเร้าใดเมื่อนำมาใช้แล้วทำให้อัตราการตอบสนองมากขึ้น เช่น คำชมเชย รางวัล อาหาร เป็นต้น
          2. ตัวเสริมแรงทางลบ (Negasitive Reinforcement) หมายถึงสิ่งเร้าใดเมื่อนำออกใช้แล้ว ทำให้อัตราการตอบสนองมากขึ้น เช่น เสียงดัง คำตำหนิ อากาศร้อน กลิ่นเหม็น เป็นตัวเสริมแรงทางลบ

           การลงโทษ (Punishment) การเสริมแรงทางลบและการลงโทษมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันและมักจะใช้แทนกันอยู่เสมอ แต่การอธิบายของสกินเนอร์การเสริมแรงทางลบและการลงโทษต่างกัน โดยเน้นว่าการลงโทษเป็นการระงับหรือหยุดยั้งพฤติกรรม



วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

คำถามท้ายบทที่ 1

1) MOOCs (Massive Open Online Courses) ถือว่าเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาประเภทใด และเพราะอะไร
      ตอบ   MOOCs (Massive Open Online Courses) ถือว่าเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาประเภท Technology เพราะ ปัจจุบันสามารถเข้าถึงหลักสูตรการเรียนรู้ต่างๆ ทางออนไลน์และอุปกรณ์โมบายต่างๆ ได้โดยสะดวก เทคโนโลยีไอซีทีก้าวหน้าไปไม่หยุดยั้งก็ทำให้เทคโนโลยีด้านอีเลิร์นนิงมีการพัฒนารูปแบบและช่องทางใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และเทคโนโลยีด้านการศึกษาที่กำลังถูกกล่าวขวัญถึงในปัจจุบันกันอย่างมากก็คือ “MOOC”


2) ประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษาแบ่งออกได้กี่ประเภทและแต่ละประเภทมีข้อดี อย่างไร
      ตอบ แบ่งเป็น 5 ประเภท ดังนี้
        1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร
        ข้อดี เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตร ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการสอนบุคลให้มากขึ้น
         2. นวัตกรรมการเรียนการสอน
        ข้อดี เป็นการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีการสอนแบบใหม่ๆที่สามารถตอบสนองการเรียน            รายบุคคล
         3. นวัตกรรมสื่อการสอน
         ข้อดี เป็นการนำความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาช่วยในการผลิตสื่อการเรียน              การสอน
         4. นวัตกรรมการประเมินผล
         ข้อดี เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้เป็นอย่างดี
         5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ
         ข้อดี ใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการตัดสินใจผู้บริหารสถานศึกษาให้มี              ความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก


3) สมมุติว่านักศึกษาไปเป็นครูประจำการ นักศึกษาจะนำนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีการศึกษาใดเข้ามาช่วยในการจัดการในเรื่องความเเตกต่างระหว่างบุลคล (Individual Different) ของผู้เรียนที่นักศึกษาได้ไปสอนเเละเพราะเหตุใดจึงเลือกนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีการศึกษานั้น
        ตอบ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI : Computer Assisted Instruction เพราะ CAI เป็นสื่อการสอนในรูปแบบหนึ่งที่มี ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟฟิก วีดีโอ ภาพเคลื่อนไหวและเสียงที่สามารถถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียนได้ใกล้เคียงห้องเรียนมากที่สุด โดยมีเป้าหมายสำคัญคือดึงดูดความสนใจของผู้เรียน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่จะเรียน เป็นสื่ออย่างหนึ่งที่เรียนตัวต่อตัว ซึ่งให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับสื่อได้ รวมทั้งสามารถที่จะประเมินคามเข้าใจของผู้เรียนแต่ละบุคคลได้ง่าย


4) ทำไมนักศึกษาวิชาชีพครูจึงต้องรู้เเเละเข้าใจในเรื่องนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีการศึกษา
        ตอบ การพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพนั้นนักศึกษาวิชาชีพครูจะต้องพยายามค้นคว้าวิธีการใหม่ๆ ในรูปแบบต่างๆเพื่อสามารถนำไปใช้กับนักเรียนได้อย่างถูกต้อง


5) นักศึกษายกตัวอย่างนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบันพร้อมอธิบายข้อดีและข้อจำกัด ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษานั้นๆ มา 1 ประเภท
        ตอบ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) คือ เทคโนโลยีใหม่ ซึ่งนับวันจะมีบทบาทมากขึ้นใน วงการศึกษาเนื่องจากคุณสมบัติและลักษณะพิเศษ ที่สามารถเอื้ออำนวยในการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็เป็นเช่นเดียวกับสื่อประเภทอื่น ๆ ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียในการใช้งานดังนี้
    ข้อดีของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
     1. คอมพิวเตอร์จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนให้แก่ผู้เรียน เนื่องจากการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์นั้นเป็นประสบการณ์ที่แปลกและใหม่
     2. การใช้สี ภาพลายเส้นที่แลดูคล้ายเคลื่อนไหว ตลอดจนเสียงดนตรี จะเป็นการเพิ่มความเหมือนจริงและเร้าใจผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้ ทำแบบฝึกหัด หรือทำกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ เป็นต้น
     3. ความสามารถของหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยในการบันทึกคะแนนและพฤติกรรมต่างๆของผู้เรียนไว้เพื่อใช้ในการวางแผนบทเรียนขั้นต่อไปได
     4. ความสามารถในการเก็บข้อมูลของเครื่อง ทำให้สามารถนำมาใช้ในลักษณะของการศึกษารายบุคคลได้เป็นอย่างดี โดยสามารถกำหนดบทเรียนให้แก่ผู้เรียนแต่ละคนและแสดงผลความก้าวหน้าให้เห็นได้ทันที
     5. ลักษณะของโปรแกรมบทเรียนที่ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้เรียน เป็นการช่วยให้ผู้เรียนที่เรียนช้า สามารถเรียนไปตามความสามารถของตนโดยเฉพาะอย่าง ไม่รีบเร่งโดยไม่ต้องอายผู้อื่น และไม่ต้องอายเครื่องเมื่อตอบคำถามผิด
     6. เป็นการช่วยขยายขีดความสามารถของผู้สอนในการคบคุมผู้เรียนได้อย่างใกล้ชิดเนื่องจากสามารถบรรลุข้อมูลได้ง่ายและสะดวกในการนำมาใช้
     ข้อจำกัดของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
     1. ถึงแม้ว่าขณะนี้ราคาเครื่องคอมพิวเตอร์และค่าใช้จ่ายต่างๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จะลดลงมากแล้วก็ตาม แต่การที่จะนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในวงการศึกษาในบางสถานที่นั้นจำเป็นต้องมีการพิจารณากันอย่างรอบคอบเพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายตลอดจนการดูแลรักษาด้วย
     2. การออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนนั้นนับว่ายังมีน้อย เมื่อเทียบกับการออกแบบโปรแกรมเพื่อใช้ในวงการด้านอื่น ๆ ทำให้โปรแกรมบทเรียนการสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีจำนวนและขอบเขตจำกัดที่จะนำมาใช้เรียนในวิชาต่างๆ
     3. ในขณะนี้ยังขาดอุปกรณ์ที่ได้คุณภาพมาตรฐานระดับเดียวกัน เพื่อให้สามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างระบบกัน เป็นต้นว่า ซอฟต์แวร์ที่ผลิตขึ้นมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบของไอบีเอ็มไม่สามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบของแม็กคินทอชได้
     4. การที่จะให้ผู้สอนเป็นผู้ออกแบบโปรแกรมบทเรียนเองนั้น นับว่าเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลา สติปัญญา และความสามารถเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เป็นการเพิ่มภาระของผู้สอนให้มีมากยิ่งขึ้น
     5. เนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์เป็นการวางโปรแกรมบทเรียนไว้ล่วงหน้า จึงมีลำดับขั้นตอนในการสอนทุกอย่างตามที่วางไว้ ดังนั้น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน จึงไม่สามารถช่วยในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนได้
     6. ผู้เรียนบางคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ อาจจะไม่ชอบโปรแกรมที่เรียนตามขั้นตอนทำให้เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ได้